วิธีการดูแลสระว่ายน้ำระบบเกลือให้ใช้งานได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป

สำหรับใครที่กำลังฝันถึงการเป็นเจ้าของสระว่ายน้ำระบบเกลือ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร? Prism Pools มีคำแนะนำสำหรับคุณทั้งหมด พร้อมกับการดูแลรักษาด้วยตนเองแบบง่าย ๆ ซึ่งไม่แปลกใจเลยที่เจ้าของสระว่ายน้ำจำนวนมากกำลังปรับเปลี่ยนสระว่ายน้ำเดิมที่ใช้คลอรีนเป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือ เพื่อให้เกิดความเข้าใจก่อนการติดตั้งสระว่ายน้ำและสามารถดูแลรักษาสระว่ายน้ำระบบเกลือด้วยตนเอง มีวิธีการดูแลอย่างไร มาดูข้อมูลต่อไปนี้พร้อมกัน

วิธีการตรวจสอบระดับเกลือและปรับตั้งค่า

สระว่ายน้ำไม่ว่าจะใช้งานด้วยระบบใดก็ตามแต่จำเป็นจะต้องได้รับการตรวจสอบและรักษาความสะอาดคุณภาพของน้ำภายในสระอยู่เสมอเพื่อให้ผู้ใช้สระน้ำมีสุขภาพดี ไม่ว่าภายในสระจะมีน้ำกี่ลิตรก็ตาม โดยมีวิธีตรวจสอบดังนี้

ค่ามาตรฐานของระดับเกลือที่มีความปลอดภัยและสามารถฆ่าเชื้อโรคภายในสระว่ายน้ำได้นั้นอยู่ที่ 2,700 – 3,400 ppm ซึ่งตัวเลขที่มีความเสถียรมากที่สุดจะอยู่ที่ 3,200 ppm ถ้าหากระดับเกลือภายในสระต่ำกว่า 2,000 ppm เครื่อง Chlorine Generator จะไม่สามารถดึงเอาเกลือไปผลิตเป็นคลอรีนสำหรับฆ่าเชื้อโรคได้ ซึ่งวิธีการวัดและตรวจสอบระดับเกลือของน้ำภายในสระจะใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Salinity Meter Pen หรือ ปากกาวัดค่าความเค็ม ซึ่งจะมีด้วยกันหลายฟังก์ชันขึ้นอยู่กับแบรนด์และรุ่นของสินค้า ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะ All-in-one ที่สามารถวัดระดับความเค็มของเกลือ, อุณหภูมิ, ระดับความเป็น กรดด่าง (pH) และอื่น ๆ ยิ่งเครื่องที่มีความละเอียดมากเท่าใด ความแม่นยำก็ยิ่งสูงขึ้น

วิธีการคำนวณการเติมเกลือลงในสระ จะใช้เกลือ 4 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร นั่นหมายความว่าหากสระน้ำมีความจุของน้ำ 5,000 ลิตร จะต้องใส่เกลือ 200 กิโลกรัม

การทำความสะอาดระบบเกลือ

โดยปกติน้ำในสระว่ายน้ำจะมีสีฟ้าใส สะอาดตา แต่เมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะหนึ่งประกอบกับเจอสภาวะฝนตกใส่ ทำให้ค่า pH เปลี่ยนไป เมื่อสระว่ายน้ำเผชิญกับแดดร้อน ๆ อาจทำให้เกิดตะไคร่และสาหร่ายเจริญเติบโตได้ ทำให้น้ำอาจเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้ จึงจำเป็นต้องทำความสะอาดอยู่เสมอด้วยวิธีต่อไปนี้

1. 1. 1. เริ่มจากการวัดค่า pH ภายในสระ หากมีค่า pH ที่ต่ำหรือสูงกว่า 7.0 อาจส่งผลให้เชื้อโรคและสิ่งมีชีวิตบางอย่างเจริญเติบโตได้ จึงต้องตรวจเช็กค่า pH อยู่สม่ำเสมอ
      2. ค่าความเค็มหรือเกลือในสระลดน้อยลง ทำให้เครื่อง Chlorine Generator ผลิตคลอรีนไม่ได้ตามค่าที่กำหนด จึงทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและทำให้น้ำเริ่มเสียและมีสีเขียวได้
      3. หากจำเป็นต้องทำความสะอาดทั้งระบบ ให้ระบายน้ำและทำความสะอาดพื้นสระ, ผนัง, ด้วยแปรงสำหรับทำความสะอาดสระว่ายน้ำระบบเกลือโดยเฉพาะ
      4. ดูดตะกอนและสิ่งสกปรกออกจากสระให้หมด พร้อมกับทำความสะอาดที่กรองน้ำ สกิมเมอร์ และระบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
      5. เมื่อทำความสะอาดภายในสระว่ายน้ำเป็นที่เรียบร้อย ให้ปล่อยน้ำเข้าสระ พร้อมกับเกลือ ในอัตราส่วนที่กำหนด

เปิดระบบกรองน้ำและเครื่อง Chlorine Generator เพื่อให้ผลิตคลอรีน โดยให้ระบบน้ำไหลเวียนผ่านตัวกรองอย่างน้อย 1-3 รอบ พร้อมกับวัดคุณภาพของน้ำ ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน แต่ท้ายที่สุดน้ำจะค่อย ๆ ใสขึ้นเรื่อย ๆ

การตรวจสอบและซ่อมแซมอุปกรณ์ในระบบ

การตรวจสอบและซ่อมแซมอุปกรณ์ในระบบเกลือเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้งานได้ดี ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ในส่วนของเจ้าของสระที่สามารถตรวจสอบด้วยตนเองในเบื้องต้น และส่วนของเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคที่ดูแลในเรื่องของอุปกรณ์และเครื่องมือที่สำคัญ ดังนี้

การตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตนเอง

• • • ตรวจสอบระดับเกลือด้วยการใช้เครื่องวัดเกลือเพื่อตรวจสอบระดับเกลือในสระให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ซึ่งอาจต้องปรับเกลือเพิ่มขึ้นหรือเติมน้ำให้เจือจางหากมีความผิดปกติ
    • ตรวจสอบระบบไฟฟ้าของเครื่องผลิตคลอรีนจากเกลือ (chlorine generator) ว่าทำงานอย่างถูกต้องหรือไม่ ตรวจสอบสายไฟและเช็กระบบควบคุม
    • ตรวจสอบว่าระบบการไหลเวียนของน้ำทำงานอย่างถูกต้องหรือไม่

การตรวจสอบด้วยช่างทางเทคนิค

• • • การตรวจเช็กเครื่อง Chlorine Generator ตามรอบการซ่อมบำรุง รวมถึงการเปลี่ยนอะไหล่
    • การตรวจสอบระบบกรองน้ำและเปลี่ยนไส้กรอง

การควบคุมระดับ pH และคลอรีนในน้ำ

เป็นการตรวจและควบคุมระดับ pH และคลอรีนในน้ำ เพื่อให้น้ำในสระมีคุณภาพ ใส สะอาด ปราศจากเชื้อโรคและปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน ซึ่งค่า pH ที่ตรวจควรมี pH ที่เป็นกลางหรือประมาณ 7.0 ซึ่งเป็นค่าที่เชื้อโรคต่าง ๆ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้

การใช้เทคโนโลยีสระว่ายน้ำที่ช่วยในการรักษาคุณภาพน้ำ

นอกจากระบบกรองน้ำและระบบเกลือที่มีความสำคัญต่อการทำความสะอาดน้ำแล้ว ในบางครั้งอาจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีการกำจัดและฆ่าเชื้อโรคภายในน้ำที่ระบบกรองน้ำและระบบเกลือกำจัดไม่หมด การใช้โอโซนเป็นหนึ่งในวิธีบำบัดและกำจัดเชื้อโรคในน้ำได้ดี เพื่อให้ผู้ใช้งานห่างไกลจากสารเคมีที่ใช้ในการบำบัดและฆ่าเชื้อโรคในน้ำ อีกทั้งไม่ทำให้ระคายเคืองต่อดวงตา ผิวหนัง หรือมีกลิ่นแบบคลอรีนติดตัว การใช้โอโซนในการบำบัดน้ำช่วยให้ค่า pH ของน้ำไม่เปลี่ยนแปลงและยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องกรองน้ำออกไปได้

การตรวจสอบและรักษาปัญหาน้ำในสระ

เจ้าของสระควรใช้เครื่องมือในการวัดค่า pH, ค่าเกลือภายในสระอยู่เสมอ โดยอาจกำหนดความถี่ในการตรวจสอบเป็นสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำในสระจะได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ หากพบความผิดปกติจะได้แก้ไขได้ทัน โดยเฉพาะสระว่ายน้ำขนาดกลางและขนาดใหญ่ เนื่องจากมีปริมาณการใช้น้ำจำนวนมาก หากจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่อาจทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากค่าน้ำและค่าเกลือที่ต้องเติมลงไปในสระให้ได้ระดับความเค็มและ pH ที่ได้มาตรฐาน

การดูแลพื้นที่รอบสระ

ควรทำการตัดและตกแต่งกิ่งไม้บริเวณรอบสระอยู่เป็นประจำ ก่อนดำเนินการควรใช้ผ้าคลุมสระเสียก่อนหรือหากเป็นไปได้ไม่ควรติดตั้งสระว่ายน้ำใกล้กับต้นไม้ เพราะจะทำให้เศษใบไม้ร่วงใส่สระว่ายน้ำ จนเกิดปัญหาเรื่องน้ำเน่าเสียได้ ควรเลือกตกแต่งด้วยต้นไม้ขนาดเล็กที่อยู่ต่ำกว่าขอบสระว่ายน้ำ

การรักษาและทำความสะอาดฟิลเตอร์และปั๊ม

เป็นขั้นตอนที่ต้องตรวจสอบและทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าฟิลเตอร์และปั๊มยังทำงานได้ดี หากฟิลเตอร์สกปรกมากให้เปลี่ยนโดยด่วนเพื่อรักษาคุณภาพน้ำที่ดีไว้ และหากพบว่าปั๊มทำงานผิดปกติ ให้รีบแจ้งช่างหรือบริษัทที่ติดตั้งมาตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหาต่อไป

การจัดการอุปกรณ์เสริม สระว่ายน้ำระบบเกลือ

เป็นอุปกรณ์สำหรับดูแลทำความสะอาดสระว่ายน้ำและความปลอดภัย เมื่อเกิดปัญหาจะสามารถแก้ไขด้วยตัวเองอย่างทันท่วงที เช่น ถุงเก็บตะกอน, ที่ดักสิ่งสกปรกบนผิวน้ำ, ผ้าสำหรับใช้คลุมสระเมื่อไม่ได้ใช้งาน และเพื่อป้องกันเศษใบไม้และฝุ่นผงตกลงในสระ, เครื่องมือสำหรับทำความสะอาด, ไส้กรองสำรองที่พร้อมจะเปลี่ยนได้ตลอดเวลา